ถามคำถามที่นี่ - เครื่องสำอาง

พอดีเจอสูตร Vitamin C Silicone Serum ที่ Staffเคยแนะนำไว้ค่ะ
Silicone Gel 60%
Isododecane 20%-25%
L-ascorbic acid Ultra-Fine 15-20%

วิธีทำ ต้องทำตามอย่างละเอียดนะคะ เนื่องจากมีเคล็ดลับบางขั้นตอน

1.นำ L-ascorbic acid Ultra-Fine มาบดให้ละเอียด ใน Isododecane

จุดสำคัญของขั้นตอนนี้คือ พยายามบดให้ L-ascorbic acid ที่เป็นผงอนุภาคเล็ก กระจายตัว อย่างละเอียด ใน Isododecane ไม่ให้จับตัวกันเป็นก้อน ขั้นตอนนี้สำคัญมาก เพราะถ้าไม่ละเอียด เมื่อเดี๋ยวเราใส่ลงไปใน Silicone Gel แล้วมันจะจับตัวกันเป็นก้อนค่ะ

2.ค่อยๆเทลงใน Silicone Gel ในขณะที่เราคนต่อเนื่องเรื่อยๆ ให้ผงวิตามินซี กระจายตัวได้มากที่สุด

คือจากขั้นตอนที่บอกมา รู้สึกว่าขั้นตอนน้อยและดูไม่ค่อยยุ่งยากเท่าสูตรอื่น แต่มีข้อสงสัยอยากถามดังนี้ค่ะ

1.ที่บอกว่าpH อยู่ระหว่าง 2.0-4.0 นั้น เราจะวัดยังไงค่ะ วัดตอนทำสำเร็จแล้ว ซึ่งมันมีนความข้นไม่ใส่ วัดลำบาก
กับวัดตอนระหว่างที่นำL-ascorbic acid Ultra-FineมาบดกับIsododecane ซึ่งจะเหลวกว่า

2.ควรใส่Protec™ UV ร่วมด้วยมั๊ยคะ ถ้าใส่ให้ผสมกับIsododecaneได้เลยใช่มั๊ยคะ

ขอถามอีกข้อค่ะ เราสามารถใส่ isohexadecane แทน Isododecane ได้มั๊ยคะ
คือเห็นว่าตัวนี้ไม่ระเหยและมีคุณสมบัติเหมือนกัน แต่ไม่ทราบว่าจะมีผลเสียกับ
L-ascorbic acid Ultra-Fine หรือเปล่าคะ

สวัสดีคะ

1.ที่บอกว่าpH อยู่ระหว่าง 2.0-4.0 นั้น เราจะวัดยังไงค่ะ วัดตอนทำสำเร็จแล้ว ซึ่งมันมีนความข้นไม่ใส่ วัดลำบาก
กับวัดตอนระหว่างที่นำL-ascorbic acid Ultra-FineมาบดกับIsododecane ซึ่งจะเหลวกว่า

หากต้องการวัดค่า pH ของสูตรนี้ ท่านสมาชิกจะต้องนำมาเจือจางในน้ำ แล้วจึงสามารถวัดได้คะ สาเหตุเนื่องจากสูตรไม่มีน้ำ การวัดค่า pH จะไม่สามารถทำได้คะ

2.ควรใส่Protec™ UV ร่วมด้วยมั๊ยคะ ถ้าใส่ให้ผสมกับIsododecaneได้เลยใช่มั๊ยคะ

ไม่จำเป็นคะ เนื่องจากสูตรลักษณะนี้มีความเสถียรดีอยู่แล้ว แต่แนะนำว่าบรรจุในภาชนะที่สามารถกันแสงได้ดีด้วยคะ ไม่บรรจุในบรรจุภัณฑ์ใส โปร่งแสง คะ

ขอถามอีกข้อค่ะ เราสามารถใส่ isohexadecane แทน Isododecane ได้มั๊ยคะ
คือเห็นว่าตัวนี้ไม่ระเหยและมีคุณสมบัติเหมือนกัน แต่ไม่ทราบว่าจะมีผลเสียกับ
L-ascorbic acid Ultra-Fine หรือเปล่าคะ

สามารถทำได้คะ ไม่มีปัญหากับ Vitamin C L-ascorbic acid คะ แต่เนื้อจะหนักขึ้นคะ

ขอบคุณค่ะ

เรียนสอบถามเพิ่มเติมครับ

1. สูตรนี้ไม่มีน้ำ เลยไม่ต้องใส่สารกันเสียใช่มั้ยครับ ?

2. ถ้าหากจะเพิ่มส่วนผสม Vitamin E (dl-alpha tocopherol) 2%
ไม่น่ามีปัญหาอะไรในสูตรใช่มั้ยครับ
ผสมกับ Isododecane คนให้เข้ากันก่อน ค่อยเติมผง L-ascorbic acid ลงไปใช่มั้ยครับ

3. ถ้าหากอยากหลีกเลี่ยง Silicone Gel จะขอแทนที่ Silicone Gel 60% ด้วย
LipidSoft™ Dry II 60% หรือ
LipidSoft™ Lite 60%
ไม่ทราบว่าเหมาะสมสำหรับผิวมันมั้ยครับ
หรือทาง staff มีส่วนผสมตัวอื่นจะแนะนำมั้ยครับ ?

ขอบคุณมากครับ

สวัสดีคะ

1. สูตรนี้ไม่มีน้ำ เลยไม่ต้องใส่สารกันเสียใช่มั้ยครับ ?

ถูกต้องคะ แต่ในทางปฎิบัติ หากผลิตสูตรนี้เพื่อจำหน่าย อาจจะพิจารณาเติมสารกันเสียเล็กน้อย เพื่อให้แน่ใจว่า เมื่อสินค้าอยู่ในมือผู้ใช้จริง หากมีความชื้นเข้าไปในสูตร ก็จะไม่เกิดปัญหาคะ

2. ถ้าหากจะเพิ่มส่วนผสม Vitamin E (dl-alpha tocopherol) 2%
ไม่น่ามีปัญหาอะไรในสูตรใช่มั้ยครับ
ผสมกับ Isododecane คนให้เข้ากันก่อน ค่อยเติมผง L-ascorbic acid ลงไปใช่มั้ยครับ

สามารถแยกชั้นได้ เนื่องจากไม่ได้มีตัวช่วยประสานอยู่คะ

3. ถ้าหากอยากหลีกเลี่ยง Silicone Gel จะขอแทนที่ Silicone Gel 60% ด้วย
LipidSoft™ Dry II 60% หรือ
LipidSoft™ Lite 60%
ไม่ทราบว่าเหมาะสมสำหรับผิวมันมั้ยครับ

สามารถแยกชั้นได้ เนื่องจากไม่ได้มีตัวช่วยประสานอยู่คะ

ขออนุญาตสอบถามเพิ่มเติมครับ

1. สูตรนี้
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine) 15%
Isododecane 25%
Silicone Gel 60%
L-ascorbic acid ไม่ได้ละลายใน Isodocecane หรือใน Silicone Gel ใช่มั้ยครับ
เพียงแต่กระจายตัวอยู่ในสูตร ใช่มั้ยครับ

2. หากเปลี่ยนจาก Silicone Gel เป็น LipidSoft™ Dry II
ปรับสูตรเป็น
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine) 15%
Isododecane 25%
LipidSoft™ Dry II 60%
ทีแรก นึกว่า Isododecane ซึ่งเป็น oil สังเคราะห์จะละลายในน้ำมันอย่าง LipidSoft™ Dry II เสียอีก
Light Cream Maker หรือ Satin Cream Maker ก็ประสานน้ำมันได้เพียง 20-25 % น่าจะใช้กับ LipidSoft™ Dry II 60% ไม่ได้
ไม่ทราบว่าทาง staff แนะนำตัวช่วยประสานตัวไหนดีครับ

ขอบคุณมากครับ

สวัสดีคะ

1. สูตรนี้
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine) 15%
Isododecane 25%
Silicone Gel 60%
L-ascorbic acid ไม่ได้ละลายใน Isodocecane หรือใน Silicone Gel ใช่มั้ยครับ
เพียงแต่กระจายตัวอยู่ในสูตร ใช่มั้ยครับ

ถูกต้องคะ

2. หากเปลี่ยนจาก Silicone Gel เป็น LipidSoft™ Dry II
ปรับสูตรเป็น
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine) 15%
Isododecane 25%
LipidSoft™ Dry II 60%
ทีแรก นึกว่า Isododecane ซึ่งเป็น oil สังเคราะห์จะละลายในน้ำมันอย่าง LipidSoft™ Dry II เสียอีก
Light Cream Maker หรือ Satin Cream Maker ก็ประสานน้ำมันได้เพียง 20-25 % น่าจะใช้กับ LipidSoft™ Dry II 60% ไม่ได้
ไม่ทราบว่าทาง staff แนะนำตัวช่วยประสานตัวไหนดีครับ

ปัญหาของสูตรนี้ หรือหากสูตรเหลว Vitamin C Ultra-Fine จะนอนก้น แทนที่จะกระจายตัวได้ดีในเนื้อสูตรคะ นั่นเป็นสาเหตุที่จะต้องใช้ Silicone Gel คะ

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine) 15%
Isododecane 25%
LipidSoft™ Dry II 60%

จากสูตร ใช้ Cyclopentasiloxane (Low-Odor Cyclomethicone) หรือ Dimethicone 1Secs แทน Isododecane 25% ที่%เท่ากันได้หรือไม่ครับ

ขอบคุณครับ

austiname789 เขียน:Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine) 15%
Isododecane 25%
LipidSoft™ Dry II 60%

จากสูตร ใช้ Cyclopentasiloxane (Low-Odor Cyclomethicone) หรือ Dimethicone 1Secs แทน Isododecane 25% ที่%เท่ากันได้หรือไม่ครับ

ขอบคุณครับ

ถ้าสูตรเป็นแบบนี้
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine) 15%
Isododecane 25%
LipidSoft™ Dry II 60%
มีปัญหาคือ
1. Isododecane น่าจะไม่ละลายใน LipidSoft™ Dry II นะครับ (รอ staff confirm)
2. ทั้ง 2 สาร ไม่มีความหนืดแบบ Silicone Gel ทำให้ผง L-ascorbic acid ตกตะกอน นอนก้นภาชนะ
วิธีแก้ รอทาง Staff มาแนะนำดีกว่าครับ
แต่ผมลองคิดเอาเอง น่าจะใช้สารที่เป็นทั้ง Emulsifier และ thickener ประสานสารทั้ง 2 ตัว + ทำให้ข้นมากขึ้น ผงวิตซีไม่ตกตะกอน ไม่รู้จะมีหรือเปล่า รอทาง Staff ครับ