ขออนุญาติแสดงความคิดเห็นเท่าที่เคยสอบถามทางทีมงานมานะคะ
- จากสูตรนี้ยังไม่มีน้ำเป็นตัวทำลายสารที่สามารถละลายในน้ำค่ะ
-
Safe-B3™ (
Vitamin B3 10% และ
Niacinamide, Switzerland 4% เป็นสารตัวเดียวกันค่ะ แค่ผลิตจากประเทศที่ต่างกัน เลือกใช้เพียงตัวใดตัวหนึ่งก็พอค่ะ และเลือกใช้แค่ 5% ก็เพียงพอต่อการใช้เพื่อหวังผลด้านสิว และบำรุงผิวแล้วค่ะ
-
Phospholipid จะต้องทั้งส่วนน้ำ และน้ำมันในสูตรค่ะ ถึงจะสามารถผสมได้ค่ะ
-
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine) 15% และ
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine) 15% คิดว่ามีตัวนึงน่าจะเป็นแบบ Ultra-Fine ค่ะ คิดว่าเลือกใช้ตัวใดตัวนึงก็เพียงพอแล้วค่ะ เพราะเป็น
Vitamin C บริสุทธิ์เหมือนกัน ต่างกันตรงขนาดอนุภาคค่ะ
-
Vitamin C (L-ascorbic acid) กับ
Ascorbyl Glucoside (AA-2G
stabilized vitamin c) คิดว่าไม่น่าจะอยู่ในสูตรเดียวกันได้นะคะเพราะ อยู่ในสูตรที่ค่า PH ต่างกันค่ะ
Vitamin C (L-ascorbic acid) ต้องอยู่ในสูตรที่ค่า pH อยู่ระหว่าง 2.0-4.0 และ
Ascorbyl Glucoside (AA-2G
stabilized vitamin c) สูตรจะต้องมี pH อยู่ในช่วง 6.5-6.8 ถ้าไม่อยู่ในค่า PH ที่กำหนด
Vitamin C จะเสื่อมสภาพค่ะ
- จากสูตรมีการใช้
Vitamin C แต่ในสูตรยังไม่มี
Disodium EDTA เพื่อจับประจุในน้ำ และยังไม่มี
Protec™ OX และ
Protec™ UV ในสูตร เพื่อป้องกัน
Vitamin C เสื่อมคุณภาพค่ะ
- จากสูตรมีการใช้
Vitamin C แต่ไม่มีส่วนน้ำมันเพื่อละลาย
Protec™ OX และ
Protec™ UV และยังไม่มี
Emulsifier เพื่อประสารส่วนของน้ำมันและน้ำค่ะ
- "
Vitamin C ชนิด
L-ascorbic acid ไม่ควรผสมกับน้ำโดยตรง เนื่องจากจะเกิดการ oxidation และทำให้เสียสภาพ (หากต้องการผสมน้ำโดยตรง ควรใช้ให้หมดภายใน 3วัน) การใช้ผสมในเครื่องสำอางค์ หากมีน้ำผสมอยู่ด้วย ควรเติม
Ferulic Acid และ
Vitamin E เพื่อลดการ oxidation (การเติม
Ferulic Acid และ
Vitamin E เพื่อลดการเกิด oxidation เป็นลิขสิทธิ์ของ SkinCeuticals กรุณาคลิ๊กเพื่อดูวิธี) หรือเติม
Glutathione (ชนิด L-Reduced) เพื่อลดการเกิด oxidation ทำให้
L-ascorbic acid ไม่เสียคุณภาพ" เป็นข้อมูลวิธีการใช้
Vitamin C ชนิด
L-ascorbic acid ให้เกิดผลที่สุดค่ะ
- จากสูตรมีการใช้ทั้ง
Vitamin C และ
Niacinamide ไม่สามารถผสมสารทั้ง 2 ตัวให้อยู่ในสูตรเดียวกันได้ค่ะ เพราะจะกระทบต่อความเสถียรของ
Vitamin C ค่ะ แต่สามารถแยกสูตรแล้วใช้ต่อกันได้ค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ